วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แหล่งท่องเที่ยวทางโบราณคดี



แหล่งท่องเที่ยวทางโบราณคดีจังหวัดปัตตานี

เมืองโบราณยะรัง



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เมืองโบราณยะรัง

สถานที่ตั้ง
อยู่ในบริเวณ หมู่ที่ ๓ ตำบลยะรัง อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี
ประวัติความเป็นมา
เป็นเมืองที่มีความเจริญ ในช่วงปี พ.ศ. ๗๐๐ - ๑๔๐๐ ทิศเหนือติดต่อเมืองสงขลา และพัทลุง ทิศใต้แผ่ไปจนสุดแหลมมลายู ทิศตะวันตกและทิศตะวันออกจรดชายฝั่งทะเลทั้งสองฝั่ง มีซากโบราณสถานและโบราณวัตถุสมัยศรีวิชัยและทวราวดี เมืองโบราณยะรังเป็นชุมชนที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ และโบราณคดีเป็นอย่างมาก อาจมีความสัมพันธ์กับอาณาจักร "ลังกาสุกะ" ซึ่งเป็นอาณาจักรที่เก่าแก่ที่สุดอาณาจักรหนึ่งบนคาบสมุทรมลายู มีหลักฐานอยู่ในเอกสารจีน อาหรับ ชวา และมลายู ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ และสันนิษฐานว่าน่าจะมีศูนย์กลางอยู่ในบริเวณจังหวัดปัตตานีในปัจจุบัน และอาจมีอิทธิพลคลุมไปถึงรัฐไทรบุรี ของสหพันธรัฐมาเลเซียด้วย อีกทั้งจะต้องเป็นเมืองท่าที่สำคัญ ตั้งอยู่ใกล้ทะเล และเป็นดินแดนที่มีความมั่นคง มีบทบาททางการเมือง ทางเศรษฐกิจ เกี่ยวข้องกับดินแดนใกล้เคียงอยู่เสมอและได้ทำการติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศอย่างกว้างขวาง มาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒

ลักษณะทั่วไป
มีลักษณะผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ขนาดประมาณ ๕๐๐ X ๕๕๐ เมตร มีคูน้ำ ดันดินล้อมรอบทั้งสี่ด้านและที่ป้องทั้งสี่มุม และมีคูน้ำขุดล้อมต่อลงมาเป็นรูปสี่เหลี่ยมของเมืองขยายทางทิศใต้ คือเมืองโบราณบ้านจาและ

หลักฐานที่พบ
จากการขุดแต่งพบโบราณวัตถุหลายประเภท ได้แก่
๑. สถูปจำลองดินดิบ ดินเผาจำนวนมาก ประกอบด้วยประติมากรรมนูนต่ำ รูปท้าวกูเวระ พระพุทธเจ้าประทับนั่งขนาบด้วยสถูปจำลองทั้งสองข้าง
๒. พระพิมพ์ดินเผาและพระพิมพ์ดินดิบรูปแบบต่าง ๆ เช่น
๒.๑ พระพิมพ์ดินดิบ รูปสถูปเดี่ยว แบบสาญจี(โอคว่ำ) ด้านล่างมีจารึกคาถาเยธัมมา
๒.๒ พระพิมพ์ดินดิบ รูปสถูปจำลอง ฐานสูง ๓ องค์เรียงกันด้านล่างมีจารึกคาถาเยธัมมา
๒.๓ พระพิมพ์ดินดิบ รูปพระพุทธเจ้าประทับยืนในท่าติกังก์ และทางวิตรรกะมุตรา
๓. เศษภาชนะดินเผา เครื่องถ้วยเปอร์เซียเคลือบสีฟ้าอมเขียว
๔. เศษภาชนะดินเผา เครื่องถ้วยเซลาคอน สีเขียวมะกอก โบราณวัตถุเหล่านี้เปรียบเทียบรูปแบบทางศิลปะร่วมสมัยศิลปทวาราวดี ทางภาคกลางของประเทศไทย ซึ่งกำหนดอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๙ – ๑๑

เส้นทางเข้าสู่เมืองโบราณยะรัง
จากตัวเมืองปัตตานี ไปทางทิศใต้ตามถนนสายปัตตานี - ยะลา ประมาณ กิโลเมตร ถึงอำเภอยะรัง เลี้ยวซ้ายสู่เมืองโบราณ ระยะทาง ๑.๕ กิโลเมตร

แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์


แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์จังหวัดปัตตานี

มัสยิดกรือเซะและเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว



          กรือเซะ (Krue Se) หมู่บ้านเล็กๆ ห่างจากตัวเมืองปัตตานีไปทางตะวันออก กิโลเมตร ในเขตปกครองของตำบลตันหยงลุโละ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เป็นหมู่บ้านหนึ่งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ที่มีการกล่าวถึงกันมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา


                                         


          หมู่บ้านกรือเซะเป็นที่ ตั้งของโบราณสถานที่สำคัญ คือ มัสยิดกรือเซะ,
 สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกกว่า 20 แห่ง เช่น คูเมือง ป้อมปราการ ที่หล่อปืนใหญ่ บ่อน้ำโบราณ เตาเผาเครื่องถ้วยชาม จุดขนถ่ายสินค้า จุดเรือจม นาเกลือโบราณ สุสานเจ้าเมือง สุสานชาวต่างประเทศ สุสานนักรบปัตตานี ฯลฯ

          กรือเซะในอดีตมีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักออกไปกว้างไกลในฐานะเป็นที่ตั้งของเมืองปัตตานีสมัยอยุธยา และในฐานะเมืองหลวงและมหานครของดินแดนมลายู ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมายังไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรใดเข้าไปฟื้นฟูบูรณะเมือง โบราณแห่งนี้ ทั้งนี้ อาจจะมีเหตุผลว่า ไม่อยากไปรื้อฟื้นพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่มากด้วยปัญหาความขัดแย้งกับสยาม หรืออยุธยาในยุคนั้น รวมทั้งคำบอกเล่าที่ระบุถึงโบราณสถานสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองปัตตานี คือ มัสยิดกรือเซะต้องคำสาปของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ทำให้การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จและถูกปล่อยทิ้งร้างมาจนทุกวันนี้

          ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด สิ่งที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยที่ผ่านมา คือ การขาดองค์ความรู้ในประวัติศาสตร์เมืองปัตตานีและประวัติที่แท้จริงของ มัสยิดกรือเซะ นอกเหนือจากตำนานหรือคำบอกเล่า รวมทั้งการเสียโอกาสในการได้รับการพัฒนาจากรัฐ เฉกเช่นเมืองโบราณร่วมสมัยเดียวกัน เช่น อยุธยา สงขลา นครศรีธรรมราช ฯลฯ ยิ่งกว่านั้น การตอกย้ำคำบอกเล่าที่อ้างถึงตำนานคำสาป รวมทั้งการนำเรื่องคำสาปแช่งมาเป็นจุดขายด้านการท่องเที่ยว กลายเป็นหนทางที่นำไปสู่ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์และศาสนา
ปฏิกิริยา ความไม่พอใจของชาวมุสลิมขยายวงออกไปจนนำไปสู่การประท้วง และการต่อต้านในรูปแบบต่างๆ เช่น การชุมนุมเรียกร้องให้คืนสถานภาพโบราณสถานของมัสยิดกรือเซะเมื่อปี พ.ศ.2530 ต่อเนื่องถึงปี พ.ศ.2533 การที่มีคนร้ายบุกทำลายทรัพย์สินและเผาอาคารในบริเวณสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอ เหนี่ยวเมื่อปี พ.ศ.2547 รวมทั้งปฏิกิริยาความไม่พอใจมัคคุเทศก์ต่างถิ่นที่มุ่งเน้นถ่ายทอดเรื่องราว เชิงอภินิหารมากกว่าความสำคัญของมัสยิดกรือเซะในฐานะศาสนสถานทุกสังคมใฝ่หาสันติภาพ แต่สันติภาพกับความขัดแย้งก็เกิดขึ้นควบคู่กันไปได้เสมอ เมืองปัตตานีในอดีตก็เช่นเดียวกัน ได้ผ่านช่วงเวลาที่รุ่งเรืองและเสื่อมโทรมมาหลายครั้ง ความเข้าในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของเมืองปัตตานีเป็นสิ่งสำคัญที่ควรศึกษา เรียนรู้

          กรือเซะในอดีตเป็นเมืองท่าที่มีชื่อเสียงของเอเชียอาคเนย์ เป็นที่พำนักอาศัยของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ได้แก่ ชาวอาหรับ เปอร์เซีย โปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ สเปน ญี่ปุ่น อินเดีย รวมทั้งชาวสยาม จีน ชวาและมลายู กรือเซะจึงเป็นที่รวมของผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ โดย เฉพาะอย่างยิ่ง ชาวจีนได้กลายเป็นพลเมืองของปัตตานี โดยส่วนหนึ่งได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามในเวลาต่อมา ชาวมุสลิมเชื้อสายจีนที่กรือเซะยอมรับในชาติพันธุ์ของเขาด้วยความภาคภูมิใจ ว่า มีบรรพบุรุษเป็นชาวจีน ชาวกรือเซะยกย่องในเกียรติประวัติของลิ้มโต๊ะเคี่ยมและลิ้มกอเหนี่ยว รวมทั้งชาวจีนอีกหลายพันชีวิตที่เดินทางมายังปัตตานีในสมัยราชวงศ์เหม็ง หรือว่า 400 ปีที่ผ่านมา ในฐานะที่เป็นผู้มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อเมืองปัตตานีและในฐานะที่เป็น บรรพบุรุษของพวกเขา   ชาวกรือเซะศรัทธาและยอมรับในบุญญาบารมีของเจ้า แม่ลิ้มกอเหนี่ยว ดังที่ปรากฏในประเพณีและความเชื่อในอดีต เช่น การทำบุญและการแก้บน การขอพรและขอความช่วยเหลือจากเจ้าแม่ ฯลฯ สุสานของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและลิ้มโต๊ะเคี่ยม จึงดำรงอยู่ในชุมชนกรือเซะและได้รับการปฏิบัติอย่างสมเกียรติตลอดมา
          การผูกโยงเรื่องมัสยิดกรือเซะสร้างไม่แล้วเสร็จเนื่องจากคำสาปแช่งของเจ้าแม่ ลิ้มกอเหนี่ยว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นหรือเป็นตำนานที่สร้างขึ้นมาก็ตาม แต่สำหรับมุสลิมแล้วจะเชื่อถือศรัทธาเช่นนั้นไม่ได้ การสื่อสารเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมัสยิดกรือเซะกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จึงควรอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม ไม่ก้าวล่วงทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชาวจีนกับชาวมุสลิมที่มีมาเป็น เวลายาวนาน   ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี และชาวมุสลิมทั่วไปรับรู้เรื่องมัสยิดกรือเซะในฐานะที่เป็นศาสนสถานที่สำคัญ สูงสุดของศาสนาอิสลาม นับตั้งแต่ชาวปัตตานีรับเอาวิถีอิสลามเข้ามาในชีวิตประจำวัน เป็นที่ยอมรับกันว่า กรือเซะเป็นมัสยิดแห่งแรกในภูมิภาคนี้ที่สร้างแบบสถาปัตยกรรมตะวันออกกลาง และเป็นต้นแบบของมัสยิดสมัยใหม่ที่แพร่หลายในเวลาต่อมา
เมืองปัตตานี ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 21-23 ได้ก้าวสู่ความเป็นศูนย์กลางของการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างชาวตะวันตกและชาวตะวันออกที่สำคัญของ ภูมิภาคนี้ ทำให้ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นมหานคร เป็นระเบียงแห่งนครมักกะฮ และเป็นประตูการค้าแห่งเอเชียอาคเนย์
แต่หลังจากพุทธศตวรรษที่ 24 เป็นต้นมา ฐานะของเมืองปัตตานีเปลี่ยนแปลงไปด้วยเหตุผลทางด้านการเมือง การปกครอง และสภาพเศรษฐกิจการค้า มัสยิดกรือเซะและโบราณสถานอีกหลายแห่งจึงถูกทิ้งร้างและเสื่อมโทรมไปตามกาล เวลา จนกลายเป็น

 ปริศนาทางประวัติศาสตร์

         ต่อไปนี้เป็นบางตอน ที่ตัดทอนและปรับปรุงจากหนังสือมัสยิดกรือเซะ มรดกอารยธรรมปัตตานี ของครองชัย หัตถา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2549)


มัสยิดกรือเซะในพงศาวดารและตำนานท้องถิ่น

          เรื่องราวเกี่ยวกับมัสยิดกรือเซะ ปรากฏในพงศาวดารเมืองปัตตานี พ.ศ.2445 โดยลิ้มโต๊ะเคี่ยมและลิ้มกอเหนี่ยวมีชื่อปรากฏอยู่ด้วย ดังข้อความตอนหนึ่ง (คัดลอกตามอักขระเดิม) ดังนี้

"...เวลานั้นบ้านเมืองที่เรียกกันว่า เมืองปัตตานีนั้น ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านมะนา ติดต่อกับบ้านโตะโสม บ้านกะเสะ ฝ่ายตะวันออก แต่บ้านพะยาปัตตานี เดี๋ยวนี้ห่างกันทางประมาณสี่สิบเส้นริมทางที่จะไปเมืองยิริง ในระหว่างภรรยาเจ้าเมืองปัตตานีว่าการเปนเจ้าเมืองอยู่นั้น...นางพะยา ปัตตานีได้จัดแจงหล่อปืนทองเหลืองใหญ่ไว้สามกระบอก ตำบลที่หล่อปืนนั้นริมบ้านกะเสะ ก่อด้วยอิฐเปนรูปโบสถขึ้นหลังหนึ่งสามห้องเฉลียงรอบ แม่ปะธานกว้างประมาณหกศอก ยาวสิ้นตัวเฉลียงสี่วาเสศ เครื่องบนและพื้นเวลานี้ชำรุดหมด ยังเหลือแต่ฝาผนัง และฝาผนังเฉลียงนั้นก่อเปนโค้งทั้งสี่ด้าน พื้นแม่ปะทานสูงประมาณสองศอกเสศ พื้นเฉลียงสูงประมาณสองศอก โรงหรือโบสถที่ก่อด้วยอิฐนี้ มลายูในแหลมปัตตานีเรียกว่า สับเฆ็ด
แลนายช่างผู้หล่อปืนสามกะบอก นั้น สืบความได้ว่าเดิมเปนจีนมาจากเมืองจีน เปนชาติหกเคี้ยมแส้หลิม ชื่อเคี่ยม เข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านกะเสะ จีนเคี่ยมคนนี้มาได้ภรรยามลายู จีนเคี่ยมก็เลยเข้าสุหนัดนับถือศาสนามลายูเสียด้วย พวกมลายูสมมติเรียกกันว่า หลิมโต๊ะเคี่ยม ตลอดต่อมาจนถึงทุกวันนี้ แลในตำบลบ้านกะเสะซึ่งหลิมโต๊ะเคี่ยมอยู่มาก่อนหน้านั้น พลเมืองที่อยู่ต่อมาจนเดี๋ยวนี้ยังนับถือหลิมโต๊ะเคี่ยม ว่าเปนต้นตระกูลของพวกหมู่บ้านนั้น แลยังกล่าวกันอยู่เนืองๆ ว่า เดิมเปนจีน หลิมโต๊ะเคี่ยม นายช่างหล่อปืนนี้มาอยู่ในเมืองปัตตานีหลายปี น้องสาวลิ้มโต๊ะเคี่ยมชื่อเก๊าเนี่ยว ตามมาจากเมืองจีน มาปะหลิมโต๊ะเคี่ยมที่เมืองปัตตานีอยู่เฝ้าอ้อนวอนหลิมโต๊ะเคี่ยมให้ละเสีย จากเพศมลายู กลับไปเมืองจีน หลิมโต๊ะเคี่ยมก็ไม่ยอมไป เก๊าเนี่ยวซึ่งเป็นน้องสาวแต่เฝ้าอ้อนวอนหลิมโต๊ะเคี่ยมมานั้นประมาณหลายปี ลิ้มโต๊ะเคี่ยมก็ไม่ยอมไปแขงอยู่ เก๊าเนี่ยวซึ่งเป็นน้องสาวมีความเสียใจลิ้มโต๊ะเคี่ยมผู้พี่ชายผูกคอตายเสีย   ครั้นเก๊าเนี่ยวน้องสาวผูกคอตายแล้ว หลิมโต๊ะเคี่ยมผู้เป็นพี่ก็จัดแจงศพเก๊าเนี่ยวน้องสาวฝังไว้ในตำบลบ้านกะเสะ ทำเป็นฮ๋องสุยปรากฏอยู่ตลอดมาจนเดี๋ยวนี้ พวกจีนก็เลยนับถือว่าเปนผู้หญิงบริสุทธิ์อย่างหนึ่ง เปนคนรักชาติตระกูลอย่างหนึ่ง ได้มีการเซ่นไหว้เสมอทุกปีมิได้ขาดที่ศพเก๊าเนี่ยวนี้..."
พงศาวดาร เมืองปัตตานีฉบับนี้ ไม่มีข้อความกล่าวถึงคำสาปแช่งของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว แต่ก็ได้กล่าวถึงมัสยิดกรือเซะ ว่าอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม เครื่องบนและพื้นชำรุดหมด โดยไม่ระบุว่าเป็นเพราะสาเหตุใด

         หนังสือ Sejarah Kerajaan Melayu Patani ฉบับพิมพ์เมื่อปี ค.ศ.1985 ผู้เขียนคือ Ibrahim Syukriข้อความตอนหนึ่งกล่าวถึงการเสียชีวิตของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว โดยไม่ปรากฏข้อความเรื่องคำสาปแช่งเช่นกัน  หนังสือประวัติเจ้าแม่ ลิ้มกอเหนี่ยวที่พิมพ์โดยมูลนิธิเทพปูชนียสถาน ในโอกาสงานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ศาลเจ้าเล่งจูเกียง อาทิ ฉบับที่พิมพ์ปี พ.ศ.2534 2542 และ 2544 แม้ว่าจะได้กล่าวถึงบุญญาบารมีของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและความเกี่ยวข้อง ระหว่างพี่ชายคือ ลิ้มโต๊ะเคี่ยมกับมัสยิดกรือเซะ รวมทั้งได้รวบรวมคำบอกเล่าเกี่ยวกับกิตติศัพท์อภินิหารของเจ้าแม่ลิ้มกอ เหนี่ยวจากบุคคลต่างๆ ที่นับถือ ศรัทธาองค์เจ้าแม่ แต่ในหนังสือดังกล่าวก็ไม่ปรากฏข้อความที่เขียนถึงคำสาปแช่งของเจ้าแม่ลิ้ม กอเหนี่ยวแต่อย่างใด
         ในวิทยานิพนธ์เรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาวมลายู มุสลิมและชาวจีนในย่านสายกลาง จังหวัดยะลา ของ แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง ตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี พ.ศ.2546 อภิปรายถึงกรณีดังกล่าวว่า
"เห็นได้ ว่าประวัติของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่พิมพ์เผยแพร่โดยศาลเจ้าเล่งจูเกียง ไม่มีเนื้อหาส่วนที่เกี่ยวกับคำสาปแช่งต่อมัสยิดกรือเซะ เนื้อหาของประวัติเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เพียงแต่บอกว่าลิ้มเต้าเคียนผู้เป็นพี่ชายได้รับอาสาเจ้าเมืองปัตตานีสร้าง มัสยิด ในตอนท้ายเรื่องราวจบลงด้วยการที่ลิ้มกอเหนี่ยว หญิงสาวชาวจีนมีบทบาทช่วยวงศ์ตระกูลของเจ้าเมืองปัตตานีต่อสู้กับกบฏโดยไม่ ได้แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนาแต่อย่างใด ส่วนในพงศาวดารเมืองปัตตานี ที่พระยาวิเชียรคีรีบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ในประชุมพงศาวดารภาค3 (พิมพ์เผยแพร่เมื่อปี พ.ศ.2471) ไม่มีข้อความที่กล่าวถึงคำสาปแช่งของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเลย

ข้อความเกี่ยวกับคำสาปแช่งของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวต่อมัสยิดปรากฏขึ้นในช่วงใด ไม่แน่ชัด"

                                             

เริ่มแรกมีคำสาปแช่ง


          เมื่อผู้เขียนได้สอบถามผู้รู้ในมูลนิธิเทพปูชนียสถานและศึกษาเอกสารเพิ่มเติม พบว่าเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวสำนวนหนึ่งเขียนโดยนายสุวิทย์ คณานุรักษ์ ข้อความตอนหนึ่งกล่าวถึงประวัติลิ้มโต๊ะเคี่ยมและเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว รวมทั้งความเกี่ยวข้องกับมัสยิดกรือเซะ ที่อ้างว่าได้รับการถ่ายทอดจากขุนพจน์สารบาญ บุตรชายคนที่สองของพระจีนคณานุรักษ์ ชาวปัตตานี เชื้อสายจีน ซึ่งมีบทบาทเป็นผู้นำคนสำคัญของเมืองปัตตานีในเวลานั้น
เนื้อความ ตอนต้นกล่าวถึงประวัติของลิ้มโต๊ะเคี่ยมและลิ้มกอเหนี่ยว คล้ายคลึงกับฉบับของมูลนิธิเทพปูชนียสถาน แต่ต่างกันในตอนท้ายที่ระบุถึงคำสาปของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ดังที่ปรากฏในหนังสือประวัติทายาทหลวงสำเร็จกิจกรจางวางตอนหนึ่งกล่าวถึง เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและมัสยิดกรือเซะ
"การที่ลิ่มโต๊ะเคี่ยมช่วย เจ้าเมืองปัตตานีสร้างมัสยิดนี้เปรียบเสมือนหนึ่งการจุดเพลิงแห่งความแค้น ให้รุ่งโรจน์ขึ้นในใจของลิ้มกอเหนี่ยวผู้น้องสาว เธอพยายามอ้อนวอนพี่ชายให้เลิกล้มการช่วยสร้างมัสยิดและเดินทางกลับเมืองจีน เสีย แต่ลิ่มโต๊ะเคี่ยมไม่ฟัง เข้าตั้งหน้าตั้งตาสร้างมัสยิดอย่างจริงจังสุดที่ลิ้มกอเหนี่ยวจะทนดู พฤติการณ์ของพี่ชายได้ เธอสาปแช่งอย่างโกรธแค้นว่า "แม้พี่จะมีความสามารถในการก่อสร้างเพียงไรก็ตามแต่ ขอให้มัสยิดนี้ไม่สำเร็จ" และคืนวันนั้นเองลิ้มกอเหนี่ยว สาวน้อยผู้ยึดถือประเพณี ก็หนีไปผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ต้นใหญ่ ซึ่งอยู่ทางด้านหน้าของมัสยิดที่พี่ชายกำลังก่อสร้างนั่นเอง"
         ประวัติ เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวสำนวนนี้ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ทั้งการบอกเล่าด้วยวาจาและการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร เอกสารของทางราชการ ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญ คือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ประชาสัมพันธ์แนะนำแหล่งท่องเที่ยวโดยใช้ข้อความดังกล่าว นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปจึงรับรู้เรื่องมัสยิดกรือเซะผ่านทางตำนาน เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
          มัสยิดกรือเซะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เป็นโบราณสถาน และในขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ปฏิบัติศาสนกิจของมุสลิม คำถามเกี่ยวกับสถานภาพของมัสยิดกรือเซะจึงมีขึ้นเป็นระยะๆ แต่นั่นไม่สำคัญเท่าความรู้สึกของชาวมุสลิมที่มีต่อนักท่องเที่ยวว่ากำลัง มองมัสยิดกรือเซะด้วยสายตาและความรู้สึกเช่นใด

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แหล่งท่องเที่ยวทางทะเล

หาดทรายในจังหวัดปัตตานี

หาดชลาลัย
1_3
ห่างจากที่ว่าการอำเภอประมาณ 2 กิโลเมตร ไปตามถนนสายปัตตานี-นราธิวาส เลี้ยวซ้ายเข้าสู่อำเภอปะนาเระและแยกเข้าสู่ชายหาด จุดเด่นของหาดแห่งนี้อยู่ที่บึงน้ำขนาดใหญ่ใกล้บริเวณทิวสน ซึ่งให้บรรยากาศที่สงบร่มรื่นเหมาะแก่การท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ
หาดตะโละกาโปร์
3
ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองปัตตานีตามทางหลวงหมายเลข 42 (ปัตตานี-นราธิวาส) เลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอยะหริ่ง ข้ามคลองยามูตามสะพานคอนกรีตขนาดใหญ่ ผ่านพื้นที่สวนป่าชายเลนและหมู่บ้านไปจนถึงทางแยกเข้าสู่หาด รวมระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร หาดตะโละกาโปร์เป็นหาดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดปัตตานี เคยประกวดแหล่งท่องเที่ยว 5 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ ได้ที่ 2 ประเภทแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ประจำปี 2529 หาดตะโละกาโปร์เป็นหาดทรายขาวสะอาดขนานกับชายฝั่งทะเล มีเรือกอและของชาวประมงจอดอยู่เป็นจำนวนมาก หาดทรายแห่งนี้งอกยาวออกไปเรื่อยๆ เพราะเกิดจากกระแสน้ำพัดเอาตะกอนทรายมาทับถมพอกพูน เหมาะแก่การไปนั่งพักผ่อนชมความสวยงาม มีทิวสนและต้นมะพร้าวให้ความร่มรื่นสวยงาม
หาดทราย ชายบึงบ้านละเวง
หาดทราย-ชายบึงบ้านละเวง3
จากตัวเมืองไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 42 (ปัตตานี-นราธิวาส ) เป็นระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร ทางแยกเข้าอำเภอไม้แก่นอยู่ทางซ้ายมือ เมื่อข้ามสะพานกอตอไปประมาณ 8 กิโลเมตร ก็จะถึงหาดทราย ชายบึงบ้านละเวง มีสภาพแวดล้อมและธรรมชาติงดงามแปลกตาแก่ผู้ที่พบเห็น ลักษณะของหาดทรายแห่งนี้ คือ มีบึงขนาดใหญ่เคียงข้างหาดทรายขาวสะอาด ให้บรรยากาศแตกต่างจากหาดทรายอื่น นอกจากนี้บริเวณนั้นยังมีศูนย์ศิลปาชีพพิเศษ (กลุ่มทอผ้าบ้านละเวง) นักท่องเที่ยวสามารถไปดูการทอผ้าฝ้าย และยังมีโครงการทดลองเลี้ยงปลาน้ำกร่อยอีกด้วย
หาดปะนาเระ
spd_20130407130131_b
อยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้เส้นทางเดียวกับหาดตะโละกาโปร์ เป็นหมู่บ้านชาวประมงหลายร้อยหลังคาเรือน บนหาดทรายมีเรือกอและ และเรือประมงนานาชนิดจอดเรียงรายอยู่ทั่วทั้งหาด หาดทรายไม่เหมาะแก่การเล่นน้ำ เพราะเป็นหมู่บ้านชาวประมงและที่จอดเรือ
หาดมะรวด
หาดมะรวด
อยู่ถัดจากหาดชลาลัยไปประมาณ 2 กิโลเมตร การเดินทางเช่นเดียวกับทางไปหาดชลาลัยแต่ไปต่อจนถึงทางแยกจากถนนปะนาเระ-สายบุรีและเลี้ยวซ้ายไปสู่หาด ลักษณะเด่นของหาดมะรวดได้แก่ ภูเขาหินที่มีขนาดเล็กตั้งซ้อนทับกันอยู่ดูแปลกตา และมีทางเดินทอดยาวให้ขึ้นไปเดินเล่นบนยอดเขาได้อีกด้วย
หาดรัชดาภิเษก
หาดรัชดาภิเษก1
ตั้งอยู่ที่บ้านสายหมอ ตำบลสายหมอ ห่างจากตัวจังหวัดปัตตานีประมาณ 15 กิโลเมตรหรือห่างจากที่ว่าการอำเภอหนองจิกประมาณ 2 กิโลเมตร มีทางแยกเข้าระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ชายหาดร่มรื่นด้วยทิวสนเหมาะสำหรับนั่งพักผ่อน
หาดราชรักษ์
spd_20130407124416_b
เป็นหาดทรายต่อเนื่องกับหาดชลาลัย หาดมะรวดและหาดแฆแฆ โดยอยู่ถัดจากหาดมะรวดไปเพียง 1 กิโลเมตร และอยู่ก่อนถึงหาดแฆแฆประมาณ 2 กิโลเมตร การเดินทางใช้ทางเดียวกับที่ไปหาดชลาลัย และหาดมะรวด ลักษณะเด่นของหาดราชรักษ์คือเป็นหาดทรายกว้างล้อมรอบด้วยโขดหิน และหุบเขาเตี้ยๆ บนเนินเขา นับได้ว่าเป็นสถานที่ชมทิวทัศน์ที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง
หาดวาสุกรี (ชายหาดบ้านปาตาตีมอ)
8
อยู่ห่างจากตัวเมืองปัตตานีประมาณ 52กิโลเมตร และห่างจากตัวอำเภอสายบุรีประมาณ 2 กิโลเมตร อยู่ในเขตเทศบาลตำบลตะลุบัน การเดินทางจากตัวเมืองปัตตานี ใช้เส้นทางหลวงสายปัตตานี-นราธิวาส หรืออาจเลือกเดินทางผ่านหาดแฆแฆไปจนถึงอำเภอสายบุรีหรือเลี้ยวซ้ายตรงทางแยกเข้าสู่อำเภอสายบุรีโดยตรงก็ได้ ลักษณะของหาดทรายเป็นแนวยาวขนานไปกับทิวสน นอกจากนี้ยังมีบังกะโลให้บริการอีกด้วย
หาดแฆแฆ
หาดแฆแฆ3
อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 43 กิโลเมตร คำว่า “แฆแฆ” เป็นภาษามลายูท้องถิ่น (ภาษายาวี) มีความหมายว่า อึกทึกครึกโครม อยู่ในท้องที่ตำบลน้ำบ่อ ตั้งอยู่ห่างจากหาดราชรักษ์ประมาณ 2 กิโลเมตร จุดเด่นของหาดแฆแฆคือเป็นชายหาดที่มีโขดหินแกรนิตขนาดใหญ่ ลักษณะแปลกตาสวยงาม บนเนินเขามีศาลาพักผ่อนและเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยแห่งหนึ่งของอำเภอปะนาเระ
แหลมตาชี หรือ แหลมโพธิ์
images
เป็นหาดทรายขาวต่อจากหาดตะโละกาโปร์ เกิดจากการก่อตัวของสันทรายที่ยื่นออกไปในทะเลในลักษณะสันดอนจะงอย (Sand Spit) ไปในทะเลอ่าวไทยทางทิศเหนือ มีภูมิทัศน์ที่สวยงามเหมาะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ การเดินทางไปแหลมตาชีไปได้ 2 ทาง คือ ทางน้ำ นั่งเรือจากปากแม่น้ำปัตตานีตรงไปยังแหลมตาชีเลย ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษ หรือ นั่งเรือจากท่าด่านอำเภอยะหริ่ง ออกมาตามคลองยามู จนถึงทะเลในไปจนถึงแหลมตาชี  ทางบก จากอำเภอยะหริ่ง ข้ามคลองยามูมาตามสะพานไม้ มีถนนตัดเข้าไปประมาณ 10 กิโลเมตร จนถึงปลายแหลมตาชี

แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ

แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติของจังหวัดปัตตานี

อุทยานแห่งชาติ น้ำตกทรายขาว จังหวัดปัตตานี

อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว




ประวัติความเป็นมาของอุทยานแห่งชาตินํ้าตกทรายขาว
          อุทยานแห่งชาตินํ้าตกทรายขาว ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่รอยต่อ 3 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง คือ จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดสงขลา และอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ 3 แห่ง คือ ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาใหญ่ จังหวัดปัตตานี ในเขตอำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาใหญ่ จังหวัดยะลา ในเขตอำเภอเมือง และอำเภอยะหา จังหวัดยะลา และอุทยานแห่งชาติเขาสันกาลาคีรี ในเขตอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา มีเนื้อที่จากการสำรวจครั้งแรกประมาณ 110 ตารางกิโลเมตร หรือ 68,756 ไร่ เป็นอุทยานแห่งชาติเตรียมการประกาศจัดตั้งโดยได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและเลขาธิการรัฐมนตรีแจ้งให้พิมพ์แผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา เพื่อจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธยในเดือนมกราคม พ.ศ. 2541
ได้มีกลุ่มราษฎรในท้องที่ตำบล ลำพะยา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ชุมนุมคัดค้านการประกาศจัดตั้งอุทยานแห่งชาตินํ้าตกทรายขาว เนื่องจากพื้นที่เตรียมการดั้งกล่าวบางส่วนทับซ้อนพื้นที่ทำกินของราษฎรและได้ทำการสำรวจรังวัดแนวเขตปรับปรุงใหม่โดยส่วนวิศวกรรมป่าไม้ กรมป่าไม้แล้ว ขณะนี้ข้อมูลดังกล่าวได้จัดส่งให้สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้แห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เมื่อเดือนมกราคม 2546 เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไปแล้ว
มีเนื้อที่ 68,750 ไร่ หรือ 110 ตารางกิโลเมตร คลอบคลุม 3 จังหวัด
ทิศเหนือ จรด ตำบลป่าบอน
,ตำบลทรายขาว และตำบลนาประดู่ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี
ทิศใต้ จรด ตำบลตาชี อำเภอยะหา จังหวัดยะลา
ทิศตะวันออก จรด ตำบลทุ่งพลา
,ตำบลปากล่อ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี และ ตำบลลำพะเยา อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา
ทิศตะวันตก จรด ตำบลบ้านโหนด
ตำบลเปียน, ตำบลธารคีรี อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลาตำบลช้างให้ตก อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี
                                                
         อุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว เนื้อที่ทั้งหมดอยู่บริเวณเทือกเขาสันกาลาคีรี เขตติอต่อกันเป็นยอกเขานางจันทร์เป็นยอดเขาที่สูงที่สุด พื้นที่จะเป็นพื้นที่เนินเขา เป็นดินปนทราย เป็นต้นกำเนิดของห้วยหลายห้วยด้วยกัน เช่น วยทรายขาว ห้วยโผงโผง ห้วยบอน ห้วยแกแดะ ห้วยลำหยัง ห้วยคลองเรือ ห้วยต้นตะเคียน ห้วยลำชิง ห้วยลำพะยา ฯลฯ ซึ่งลำห้วยลำธารเหล่านี้จะไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำเทพา เราเดินเข้าไปในอุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว จะสดชื่นมาก เพราะสภาพพืนที่ปกคลุมไปด้วยต้นไปนานาชนิด ลักษณะเป็นป่าดิบชื่น ที่เข้าไปแล้วเราจะเห็น ก็มีพวก ยาง สยา กระบาก กาลอ ไข่เขียว แน่ ๆ ไม่รุ้จักกันละซิ เราก็ไม่ค่อยรุ้จักเหมือนกัน ดีนะ พี่ๆ เขารุ้กัน ที่ขาดไม่ได้เลยในป่าก็คือ เถาวัลย์นี้เอง อากาศสดชื่นมาก
ไปที่นี้รับรองได้รับโอโซน ไปเต็มๆ สูดอากาศได้เต็มปอด ไม่เหมือนในเมือง สัตว์ป่าที่เราสามารถพบและมองเห็นได้ ก็มีพวก หมูป่า เก้ง กระจง ลิง ชะนี อีเห็น นกขุนทอง อันนี้ไม่เคยเห็น เห็นที่นี้แหละ มีกุ้ง ปูตัวเล็ก ปลาเล็ปลาน้อยอาศัยอยุ่ เพราะมีลำธารอยุ่ น้ำใสและเย็นมาก ถ้าใครไปแล้วกลัวไม่มีที่นอนเพราะเห็นเป็นป่าเขา ไม่ต้องกลัวที่นี้มีที่พักมีบ้านพัก 2 หลัง พักได้ทั้งหมด 20 คน มีค่ายพักแรมไว้คอยบริการ 1 แห่ง สามารถพักได้ทั้งหมด 50 คน สถานที่กางเต้นท์ให้ 1 แห่ง สามารถพักได้ 100 คน
  เป็นไงละ ร้านอาหารก็มีเยอะ อร่อย ๆ ทั้งนั้น ไปแล้วเชื่อได้ว่าคุณจะต้องกับไปอีกแน่นอน
                              

แหล่งท่องเที่ยวตามสถาปัตยกรรม

สถาปัตยกรรมจังหวัดปัตตานี



           มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี
 


ที่ตั้งของมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี
          มัสยิดกลางปัตตานี ตั้งอยู่ถนนยะรัง ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี เลขทะเบียนที่ 249 มีประวัติความเป็นมาดังนี้


ประวัติความเป็นมา
          ในปีพุทธศักราช 2497 ได้ตระหนักถึงความสำคัญของศาสนาอิสลามว่าเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวปัตตานีส่วนใหญ่นับถืออย่างเคร่งครัด อันจะนำมาซึ่งสันติสุข ประกอบกับในพื้นที่สี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีประชากรนับถือศาสนาอิสลาม (มุสลิม) เป็นจำนวนมาก สมควรที่จะสร้างมัสยิดกลางที่มีขนาดใหญ่ และสวยงามขึ้นเพื่อเป็นศรีสง่าแก่ชาวไทย ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามทั่วประเทศตลอดจนเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจ ของชาวไทยมุสลิม  จึงได้พิจารณาพื้นที่บริเวณริมถนนหลวงสายปัตตานี-ยะลา ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ 55 ตารางวา คระรัฐมนตรีจึงได้อนุมัติงบประมาณสำหรับการก่อสร้างมัสยิดกลางปัตตานีขึ้น โดย ฯพณฯ พลตำรวจเอก เผ่าศรียานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้นได้เดินทางมาวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2500 เวลา 10.00 น.
        มัสยิดกลางแห่งนี้ใช้เวลาในการสร้างและตกแต่งเป็นเวลา 9 ปีกว่าแล้วเสร็จ ต่อมาเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2506 ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้เดินทางมาประกอบพิธีเปิดอย่างเป็นทางการและมอบมัสยิดแห่งนี้ใหแก่ชาวไทยมุสลิมจังหวัดปัตตานี โดยตั้งชื่อว่า “มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี”  มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีสร้างเป็นตึกคอนกรีตเสริมเหล็กสองชั้น รูปทรงคล้าย “ทัชมาฮาล” ประเทศอินเดีย ตรงกลางเป็นอาคารมียอดโมขนาดใหญ่และมีโดมบริวาร 4 ทิศ มีหอคอยอยู่สองข้างสูงเด่นเป็นสง่า บริเวณด้านหน้ามัสยิดมีสระน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ภายในมัสยิดมีลักษณะเป็นห้องโถง มีระเบียงสองข้าง ภายในห้องโถงมีบัลลังก์ทรงสูงและแคบเป็นที่สำหรับ “คอเต็บ” ยืนอ่านคุฏบะฮ์ในการละหมาดวันศุกร์ หอคอยสองข้างนี้เดิมใช้เป็นหอกลางสำหรับตีกลอง เป็นสัญญาณเรียกให้มุสลิมาร่วมปฏิบัติศาสนกิจ ต่อมาใช้เป็นที่ติดตั้งลำโพง เครื่องขยายเสียงแทนเสียงกลอง ปัจจุบันขยายด้านข้างออกไปทั้ง 2 ข้างและสร้างหอบัง (อะซาน) พร้อมขยายสระน้ำและที่อาบน้ำละหมาดให้ดูสง่างามยิ่งขึ้น ภายในมัสยิดประดับด้วยหินอ่อนอย่างสวยงาม
         เมื่อวันที่21 ตุลาคม 2536 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เพื่อพบปะเยี่ยมผู้นำศาสนาอิสลามและประชาชน ณ มัสยิดกลางปัตตานี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงมีพระราชกระแสรับสั่งกับฯพณฯรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(นายสัมพันธ์ ทองสมัคร)ให้ดำเนินการบูรณะปรับปรุงอาคารมัสยิดกลางปัตตานี
กระทรวงการศึกษาธิการจึงได้กำหนดให้เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่พระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองศิริราชสมบัติเป็นปีที่ 50 พ.ศ.2539
          -วันที่ 11 พฤษจิกายน2536 ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี(นายพลากร สุวรรณรัฐ)ได้ลงนามคำสั่งจังหวัดปัตตานี ที่ 1627/2536 แต่งตั้งคณะทำงานเอประสานและติดตามงานต่อเติมอาคารมัสยิดกลางปัตตานี จำนวน 12 คน
          -วันที่ 17 ธันวาคม 2536 เจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ประกอบด้วย สถาปนิก และนายช่างโยธา ได้มาสำรวจอาคารมัสยิดกลางเพื่อออกแบบปรับปรุงต่อเติม
          -วันที่ 22 ธันวาคม 2536 ฯพณฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายปราโมทย์ สุขุม ได้เชิญ นายอุดมศักดิ์ อัศวรางกูร รองผู้ว่าราชการจงหวัดปัตตานี นายสวัสดิ์ แก้วสมบูรณ์ ผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดปัตตานี นายนิเดร์ วาบา ดาโต๊ะยุติธรรมปัตตานี นายอับดุลวาฮับอับดุลวาฮับ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี นายนิเล็ก สุไลมาน เทศมนตรีเมืองปัตตานี เพื่อร่วมประชุมวางแผนการบูรณะขยายอาคารมัสยิดกลางปัตตานี ซึ่งที่ประชุมได้มติ ดังนี้
               1. บูรณะและขยายอาคารให้ยึดรูปแบบเดิม
               2. ขยายและต่อเติมอาคารออกทั้ง 2 ข้าง
               3. เพิ่มหออะซาน 2 หอ
               4. ใช้วัสดุที่ได้มาตรฐานผลิตในประเทศไทย
          -วันที่ 19  เมษายน 2537 กระทรวงศึกษาธิการได้มอบหมายให้กรมศาสนา เป็นผู้ออกแบบและกำหนดงบประมาณ ในการบูรณะต่อเติมเป็นเงิน 35,212,000 บาท (สามสิบหห้าล้านสองแสนหนึ่งหมื่นสองพันบาทถ้วน)คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติตามหนังสือ สร 0202/10614 ลงวันที่ 18 มีนาคม 2537 ให้กระทรวงศึกษาธิการเสนอแปรญัตติ เพื่อของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2538จำนวน 12 ล้านบาท และส่วนที่เหลือให้งบประมาณผูกพันในปี 2539 และปี 2540 แต่ปรากฏว่าในงบประมาณ 2538 ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณแต่อย่างใด
จากการติดตามการจัดตั้งงบประมาณกระทรวงศึกษาธิการ ได้ตั้งงบประมาณในปี 2539 เป็นเงิน 30 ล้านบาทปีงบประมาณ 2540 เป็นเงิน 5.212 ล้านบาท และจากการประสานงานทราบว่า สำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณปรับปรุงสิ่งก่อสร้างเพียง 4,601,100 บาทเท่านั้น
จังหวัดได้มีหนังสือ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (นายบรรหาร ศิลปะอาชา) ผู้นำฝ่ายค้าน (นายชวน หลีกภัย) ผู้แทนราษฎรจังหวัดปัตตานี (นายสุขุม สุไลมาน) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา) เพื่อได้บูรณะต่อเติมมัสยิดกลางให้แล้วเสร็จสมบูรณ์
          -วันที่ 14 กันยายน 2546 สมเด็จพระบรมโอราธิราชฯ เสด็จพระราชดำเนินพระราช ทานรางวัลให้แก่ผู้ชนะเลิศการประอัญเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกรุอ่านแห่งประเทศไทย ณ มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี ผู้ชนะเลิศฝ่ายชายคือ นายสุกรี บันบา ผู้แทนจากจังหวัดนครนายก รองชนะเลิศอันดับ 1 นายอาหามะ กาแว ผู้แทนจากจังหวัดกระบี่ รองชนะเลิศอันดับ 2 นายอุสมาน โต๊ะอาลี ผู้แทนจากจังหวัดยะลาและผู้ชนะเลิศฝ่ายหญิง คือ นางสาวฮาวา หมัดหมุด ผู้แทนจากจังหวัดเพขรบุรี รองชนะเลิศอันดับ 1 นางซามีฮะ ตะโต๊ะดิง ผู้แทนจากจังหวัดปัตตานี รองชนะเลิศอันดับ 2 นางมัยดีนา สว่างลิขิต ผู้แทนจากจังหวัดยะลา
          มัสยิดกลางปัตตานีส่วนใหญ่จะใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจ (ละหมาด) วันละ 5 เวลา เป็นกิจวัตรประจำวันใช้ในการละหมาดวันศุกร์ และการละหมาดในวันตรุษต่างๆ โดยมีชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ปัตตานี และพื้นที่อื่นทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในวันศุกร์และวันเสาร์ จะมีการบรรยายธรรมะมีผู้เข้าฟังการบรรยาย ประมาณครั้งละ 3,000 คน เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในหลักการของศาสนา และเพื่อความถูกต้องในการบำเพ็ญศาสนกิจ